จากกรณีมีการเผยแพร่เรื่องราวของน้องน้ำแข็ง ผ่านทางเฟซบุ๊ก ระบุว่าน้องป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย และคุณพ่อคุณแม่ได้มีการทำการซ้อมตาย หลังจากนั้นผ่านมาเพียง 1 วัน น้องก็ได้จากไป เป็นไปตามการซ้อมเสียชีวิตอย่างที่คุณพ่อคุณแม่ได้สอนไว้
วันที่ 20 มิ.ย. 65 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ลงพื้นที่งานศพของน้องน้ำแข็ง จัดอยู่ที่ฌาปนสถานกองทัพเรือสัตหีบชลบุรี พบกับคุณพ่อคุณแม่ของน้องน้ำแข็ง และญาติที่กำลังเตรียมพร้อมจัดพิธีฌาปนกิจ
โดยภายในงานแตกต่างจากงานศพทั่วไป เพราะไม่มีความโศกเศร้าเสียใจของครอบครัวและญาติ ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส ทำหน้าที่กันอย่างปกติ โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ที่วันนี้ได้พูดคุยกับทีมข่าว เล่าเรื่องราวลูกสาวก่อนเสียชีวิต และอยากให้เรื่องราวของน้ำแข็งและครอบครัวเป็นแบบอย่างให้กับครอบครัวอื่น ๆ ด้วย
คุณพ่อของน้องน้ำแข็งคือ นาวาตรีนิติชัย เครือวัลย์ บอกว่า ตนเริ่มพบว่าน้องป่วยตอนอายุ 6 ขวบ ตอนนั้นน้องมีความปกติ ขับถ่ายไม่ค่อยได้ และปัสสาวะตอนกลางคืนบ่อยครั้ง จึงพาตรวจ พบว่าเป็นมะเร็งในช่องท้องเมื่อช่วง มี.ค. 63
จนหมอได้เอาชิ้นเนื้อไปตรวจ ก็พบว่าเป็นมะเร็งชนิดมะเร็งกระดูก เป็นมะเร็งที่ร้ายแรงเรียกได้ว่าจะพบเจอ 1 ในล้าน แล้วยิ่งน้องเป็นเด็ก 6 ขวบ ถือว่าเป็นอะไรที่น่ากลัวมาก ตลอดระยะเวลา 1 ปี หลังจากพบมะเร็งน้องได้ทำการผ่าตัด นำก้อนเนื้อออก มีการฉายแสง คีโม ทำการรักษาในทุกรูปแบบ ซึ่งตัวน้องเองเจ็บปวดกับการรักษามาก เมื่อช่วง มี.ค. 64 ปรากฏว่ามะเร็งหายไปจากตัวน้องแล้ว ไม่พบมะเร็ง แต่ปรากฏว่าน้องก็ยังได้รับผลข้างเคียง หลังการรักษาด้วยโรคอื่น ๆ
สุดท้ายโชคก็ไม่ได้เข้าข้าง เมื่อเดือน เม.ย. 65 แพทย์ตรวจพบมะเร็งกระดูกอีกครั้ง ครอบครัวทราบดีว่าน้องอาจจะไม่รอด และตัวน้องเองทราบดีว่าครั้งนี้ตัวเองก็คงไม่ไหว จึงบอกกับพ่อและแม่ว่าไม่อยากรักษาตัวในโรงพยาบาลอีก ทางครอบครัวได้ปรึกษากับแพทย์ แพทย์ก็ยินดีกับการรักษาตัวแบบประคับประคองที่บ้าน หลังจากนั้นครอบครัวเราก็มีการคุยกันถึงการตาย
นางสาวเฉอลิณญ์รฎา ฤทธาธนาเศรษฐา แม่ของน้องน้ำแข็ง เล่าต่อว่า ช่วงนั้นเราคุยและสอนธรรมะให้เขา ให้เข้าใจว่าตัวเราไม่ใช่ของเรา เราควบคุมมันไม่ได้ อย่างร่างกายของเราตอน นี้เราก็ควบคุมให้มันไม่ป่วยไม่ได้ เพราะฉะนั้นให้เราเอาดวงจิตของเราไปอยู่ ในที่ที่ดีที่สุด เพื่อรอว่าสักวันหนึ่งพ่อกับแม่ก็จะเอาดวงจิตนี้ไปหาน้องเช่นกัน
เมื่อคุณแม่ถามน้องว่าน้องติดอะไรตรงไหนไหมที่ทำให้ไม่อยากตาย น้องก็บอกว่า “มีเรื่องที่หนูอยากวาดรูป อยากเป็นนักวาดรูป” แม่จึงให้คำแนะนำว่าไม่เป็นไร เรื่องนี้ไม่มีปัญหา หนูสามารถเอาดวงจิตของหนูไปวาดรูปบนสวรรค์ได้ แล้วน้องก็บอกว่าน้องกลัวว่าจะทำให้พ่อแม่เสียใจ หลังจากที่น้องตาย
พ่อกับแม่จึงให้สัญญากับน้องว่า พ่อกับแม่จะไม่เสียใจที่น้องต้องตาย เพราะตั้งแต่น้องเกิดมาได้อยู่กับพ่อแม่ ได้เป็นลูกพ่อแม่ ครอบครัวเรามีความสุขมาก และมีความสุขจนวินาทีสุดท้าย เพราะเราอยู่ด้วยกัน ซึ่งก็ทำให้น้องน้ำแข็งเข้าใจ และไม่มีเรื่องใด ๆ ติดใจอีกพร้อมที่จะตายเสมอ เมื่อร่างกายไม่ไหวแล้ว
ส่วนที่ทำไมถึงต้องมีการซ้อมตาย เพราะเราทั้งคู่รู้ว่าลูกจะตาย และลูกสาวเองก็รู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย ที่เราทำการซ้อมตายเพราะเราต้องการให้ดวงจิตของน้องไปสู่ภพภูมิที่ดี ไม่เสียใจกับการตาย มีความสุขกับการตาย ใช้ชีวิตหลังความตายโดยไม่ติดค้างใด จึงมีการซ้อมตายกัน เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 มี.ค. ที่ผ่านมา
คุณพ่อได้ไปซื้อพวงมาลัยมาให้น้อง เหมือนกับเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ โดยน้องน้ำแข็งทำการซ้อมตาย โดยการถือพวงมาลัย แล้วถ่ายคลิปวิดีโอ บอกว่า “ถ้าหนูตายไป ขอบคุณ เทวดาที่คอยดูแลหนูมาตลอดอยากให้ท่านนำทางหนูไปสู่นิพพาน และถ้าหนูตายไป ขอให้ช่อดอกไม้นี้นำทางหนูไปสวรรค์ ไปพบพระพุทธเจ้า สาธุ”
หลังจากนั้น วันต่อมาน้องก็เสียชีวิต ระหว่างนั้นเวลาน้องเจ็บปวดจะมีการดิ้นทุรนทุรายกระโดดขึ้นมาทุกครั้งที่น้องเจ็บปวด และกระโดดขึ้นมาน้องจะหยิบพวงมาลัยนี้มาถือไว้ และก่อนที่น้องจะตายน้องได้ถือพวงมาลัยยกตัวขึ้นมา ยกเท้าให้พ่อดูว่าหนูยกเท้าได้นะ เท้าหนูกระดิกได้นะ พร้อมพูดกับพ่อแม่ว่า “ป๊า หนูทำเต็มที่สูงสุดแล้ว หนูไม่เอาแล้ว หนูปล่อยแล้ว”
คุณพ่อบอกว่าน้องพูดแบบนี้ทั้งหมด 3 ครั้ง หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ นอนลง แล้วผ่อนลมหายใจลงไปเรื่อย ๆ จนเสียชีวิต ตรงกับวันที่ 16 มิ.ย. 65 เวลา 03.00 น. ถ้าถามว่าพ่อแม่รู้สึกอย่างไรกับการที่น้องจากไป ยอมรับเลยว่ารู้สึกว่าเราทำสำเร็จแล้ว ที่ผ่านมาเราซ้อมตายเพื่อให้น้องไปสู่ภพภูมิที่ดี และสุดท้ายก่อนตายน้องไม่มีการร้องไห้ ไม่มีการร้องขอชีวิต มีแต่การไปได้ด้วยดี
บรรยากาศการจัดพิธีเผาศพน้องน้ำแข็ง เป็นไปอย่างเรียบง่าย มีเพื่อนของคุณพ่อน้องน้ำแข็ง ซึ่งเป็นทหารเรือ มาให้กำลังใจครอบครัวกันเป็นจำนวนมาก พ่อกับแม่ของน้องน้ำแข็งยังได้พาทีมข่าวไปดูที่ตั้งหน้าศพของน้อง มีตุ๊กตาตัวโปรดของน้องและภาพถ่ายน่ารักของน้องน้ำแข็ง
คุณพ่อและคุณแม่ของน้องน้ำแข็ง บอกอีกว่า วันนี้การเผาศพน้องก็เปรียบเสมือนว่าเรามาส่งน้องไปเรียนต่างประเทศ มีทั้งญาติพี่น้องครอบครัว เพื่อน ๆ และคนที่รักน้องน้ำแข็งมาร่วมกันส่งน้องน้ำแข็งไปเรียนต่อต่างประเทศกันจำนวนมาก รู้สึกดีใจทำสำเร็จแล้ว ที่ให้น้องไปอยู่ในภพภูมิที่ดี ไปอยู่ในที่ที่น้องต้องอยู่
ตนคิดว่าน้องอยู่กับเราตลอดเวลา และพ่อกับแม่ก็จะไม่เศร้า เพราะเราสัญญากับน้องไว้แล้วว่าเรายินดีที่น้องจากไป เพราะไม่อยากให้น้องเผชิญกับโรคร้าย อยากให้น้องไปอยู่ที่ดี ๆ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมแม่กับพ่อก็จะไปอยู่กับน้องเช่นกัน หลังจากนี้ตั้งใจว่าจะไม่มีลูกอีกต่อไปแล้ว จะมีลูกเป็นน้องน้ำแข็งเพียงคนเดียว
นาวาตรีนิติชัย พ่อของน้องน้ำแข็ง ฝากถึงคนอื่น ๆ ว่า หากเจอแบบที่เราเจอ ขอให้ยอมรับความจริงแล้วเดินไปข้างหน้า ไม่จมอยู่กับความทุกข์ ปรับมุมมองคิดว่าสิ่งที่เป็นอยู่ แค่ทำให้มันดีขึ้นไป
พระราชธรรมนิเทศ หรือ พระพยอม กลฺยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว เปิดเผยว่า เรื่องของการซ้อมตายมีมานานเเล้ว โดยอาตมาเอง หลวงพ่อพุทธทาส และพระไพศาล วิสาโร ได้เคยไปเทศน์ตามโรงพยาบาลที่มีผู้ป่วยใกล้ตายบ่อย จนปรากฏว่าผู้ป่วยได้ตายไปอย่างสงบมากกว่า ผู้ป่วยที่ไม่ได้อบรมหรือซ้อมตายอย่างฉลาด ในปัจจุบันคนส่วนใหญ่มีการซ้อมรับปริญญาซ้อมรับตำแหน่งต่าง ๆ เเต่ไม่มีการซ้อมตายอย่างถูกต้อง ไม่ซ้อมตายแต่ก็ต้องตาย แต่ตำแหน่งซ้อมไปไม่ได้รับก็มี
หลวงพ่อพุทธทาสเคยใช้คำว่า “ตายก่อนตาย ฝึกซ้อมไว้ ตัวกูของกู จะตายก็ตาย ให้เหลือแต่สติปัญญาทำหน้าที่ไปในแต่ละวัน” หากน้องน้ำเเข็งเข้าใจในคำสอน มีธาตุแท้เดิมมาก่อน ก็ถือได้ว่า ตกกะไดพลอยโจร ไม่ทุกข์ตอนตาย ทราบมาว่าตอนตายน้องจากไปอย่างสงบมีรอยยิ้มด้วย ซึ่งหากรู้ว่าจะตายก็ฝึกไว้ดีเเล้ว ไม่ต้องพะวงเรื่องใด หรือเเม้กระทั่งผู้ใหญ่เอง ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องสมบัติ ที่ดินต่าง ๆ เพราะสุดท้ายตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้อยู่ดี
พระพยอมเล่านิทานให้ฟังเกี่ยวกับเศรษฐีคนหนึ่งที่ตายไปแล้ว อยากจะติดสินบนยมบาล ปรากฏว่าไม่มีเงินติดตัวมาเลยตอนตาย ดังนั้น คนที่พะวงห่วงทรัพย์สินเงินทองจะตายโหง กระสับกระส่าย เพราะกลัวตาย แต่หากฝึกซ้อมตายก็จะมีสุคติเป็นที่ไป อาตมาถือว่าน้องน้ำแข็งน่าจะได้บุญมาก เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่กระตุ้นให้ประชาชนตื่นรู้ เรื่องของการเตรียมตัวตายได้อย่างดี นอกจากคนป่วย คนธรรมดาก็ควรจะฝึกจิตไว้ด้วย พระพุทธเจ้าเคยสอนพระอานนท์ให้ระลึกถึงความตายไว้ทุกวัน วันหนึ่งคิดว่า 5-10 ครั้ง นอกจากนี้ ยังมีคนเเต่งกลอนไว้บทหนึ่งดีมาก “คิดถึงความตาย สบายใจนัก ทำให้ตัดรักตัดหลงในสงสาร บรรเทาโมหันอันธการ ทำให้หายสะดุ้งไม่ยุ่งใจ”
การฝึกซ้อมตายก็ง่าย ๆ แค่คิดว่า “ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะได้อยู่อีกไหม ฉะนั้นมีอะไรต้องรีบทำให้เสร็จ ไม่ว่าจะเด็ก หนุ่มสาว คนแก่ ล้วนต้องตายทั้งสิ้น” อาตมาเคยทำงานก่อสร้างที่ รพ.ศิริราช สมัยอายุ 15-16 ปี เห็นศพคนมาเยอะ ทำให้สลดสังเวชใจ จึงบวชไม่สึกมาจนถึงปัจจุบัน ถือคติ “ต้องทำงานให้เสร็จก่อนตาย ไม่อยากตายก่อนเสร็จ” อยากทำอะไรให้รีบทำ อย่าห่วงนอน เพราะอีกไม่นานเราก็จะได้นอนถาวรแล้ว